บทบาทอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล
อำนาจหน้าที่ของ
อบต.
อบต.
มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสภาตำบล และองค์การบริหารส่วน ตำบล พ.ศ. 2537 และ
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2542)
1.พัฒนาตำบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรม (มาตรา 66)
2.มีหน้าที่ต้องทำตามมาตรา 67 ดังนี้
2.1
จัดให้มีและบำรุงทางน้ำและทางบก
2.2 การรักษาความสะอาดของถนน
ทางน้ำ ทางเดินและที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล
2.3 ป้องกันโรคและระงับโรคติดต่อ
2.4 ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
2.5 ส่งเสริมการศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม
2.6 ส่งเสริมการพัฒนาสตรี
เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุและพิการ
2.7 คุ้มครอง
ดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.8 บำรุงรักษาศิลปะ
จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น
2.9 ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ทางราชการมอบหมาย
3. มีหน้าที่ที่อาจทำกิจกรรมในเขต อบต.
ตามมาตรา 68 ดังนี้
3.1
ให้มีน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภคและการเกษตร
3.2 ให้มีและบำรุงไฟฟ้าหรือแสงสว่างโดยวิธีอื่น
3.3 ให้มีและบำรุงรักษาทางระบายน้ำ
3.4 ให้มีและบำรุงสถานที่ประชุม
การกีฬา การพักผ่อนหย่อนใจและสวนสาธารณะ
3.5 ให้มีและส่งเสริมกลุ่มเกษตรกร
และกิจการสหกรณ์
3.6 ส่งเสริมให้มีอุตสาหกรรมในครอบครัว
3.7 บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพ
3.8 การคุ้มครองดูแลและรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
3.9 หาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของ
อบต.
3.10 ให้มีตลาด
ท่าเทียบเรือ และท่าข้าม
3.11 กิจการเกี่ยวกับการพาณิชย์
3.12 การท่องเที่ยว
3.13 การผังเมือง
อำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบลตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น
ไม่เป็นการตัดอำนาจหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรม หรือองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ในอันที่จะดำเนินกิจการใด
ๆ เพื่อประโยชน์ของประชาชนในตำบล
แต่ต้องแจ้งให้องค์การบริหารส่วนตำบลทราบล่วงหน้าตามสมควร
ในกรณีนี้หากองค์การบริหารส่วนตำบลมีความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกิจการดังกล่าว
ให้กระทรวง ทบวง กรม หรือองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ นำความเห็นขององค์การบริหารส่วนตำบลไปประกอบการพิจารณาดำเนินกิจการนั้นด้วย
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้องค์การบริหารส่วนตำบลมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลและข่าวสารจากทางราชการในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการของทางราชการในตำบล
เว้นแต่ข้อมูลหรือข่าวสารที่ทางราชการถือว่าเป็นความลับเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ
องค์การบริหารส่วนตำบลอาจออกข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบล
เพื่อใช้บังคับในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลได้เท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรืออำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล
ในการนี้จะกำหนดค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บและกำหนดโทษปรับผู้ฝ่าฝืนด้วยก็ได้
แต่มิให้กำหนดโทษปรับเกินหนึ่งพันบาท เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
ในส่วนของการบริหารงานนั้น
องค์การบริหารส่วนตำบลมีการจัดแบ่งการบริหารงานออกเป็น
สำนักงานปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล และส่วนต่าง ๆ ที่องค์การบริหารส่วนตำบลได้ตั้งขึ้น
โดยมีพนักงานส่วนตำบลเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
และองค์การบริหารส่วนตำบลสามารถขอให้ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น
ไปดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติงานขององค์การบริหารส่วนตำบลชั่วคราวได้โดยไม่ขาดจากต้นสังกัดเดิม
โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตได้ตามความจำเป็น
และในกรณีที่เป็นข้าราชการซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด
ให้กระทรวงมหาดไทยทำความตกลงกับหน่วยงานต้นสังกัดก่อนแต่งตั้ง
นอกจากนั้นองค์การบริหารส่วนตำบลอาจทำกิจการนอกเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหรือร่วมกับสภาตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด
หรือหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น เพื่อกระทำกิจการร่วมกันได้ ทั้งนี้
เมื่อได้รับความยินยอมจากสภาตำบลองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด
หรือหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง
และกิจการนั้นเป็นกิจการที่จำเป็นต้องทำและเป็นการเกี่ยวเนื่องกับกิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตน
อำนาจหน้าที่ตามแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ
พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองท้องถิ่น
พ.ศ. 2542 กำหนดให้ อบต.มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะ
เพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเองตามมาตรา 16
ดังนี้
1.
การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง
2.
การจัดให้มี
และบำรุงรักษาทางบกทางน้ำ และทางระบายน้ำ
3.
การจัดให้มีและควบคุมตลาด
ท่าเทียบเรือ ท่าข้าม และที่จอดรถ
4.
การสาธารณูปโภค
และการก่อสร้างอื่นๆ
5.
การสาธารณูปการ
6.
การส่งเสริม การฝึก
และการประกอบอาชีพ
7.
คุ้มครอง ดูแล
และบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
8.
การส่งเสริมการท่องเที่ยว
9.
การจัดการศึกษา
10.
การสังคมสงเคราะห์
และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส
11.
การบำรุงรักษาศิลปะ
จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น
12.
การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัด
และการจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
13.
การจัดให้มี
และบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
14.
การส่งเสริมกีฬา
15.
การส่งเสริมประชาธิปไตย
ความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพของประชาชน
16.
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถิ่น
17.
การรักษาความสะอาด
และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
18.
การกำจัดมูลฝอย
สิ่งปฏิกูล และน้ำเสีย
19.
การสาธารณสุข
การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล
20.
การจัดให้มี
และควบคุมสุสาน และฌาปนสถาน
21.
การควบคุมการเลี้ยงสัตว์
22.
การจัดให้มี
และควบคุมการฆ่าสัตว์
23.
การรักษาความปลอดภัย
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัย โรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่นๆ
24.
การจัดการ
การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
25.
การผังเมือง
26.
การขนส่ง
และการวิศวกรรมจราจร
27.
การดูแลรักษาที่สาธารณะ
28.
การควบคุมอาคาร
29.
การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
30.
การรักษาความสงบเรียบร้อย
การส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
31. กิจอื่นใด
ที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
ประเภทของ
อบต.
ปัจจุบันมีการแก้ไขประเภทของ
อบต.แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
1.อบต.ขนาดใหญ่
2.อบต.ขนาดกลาง
3.อบต.ขนาดเล็ก
แต่เดิมนั้น
อบต. แบ่งออกตามลำดับได้เป็น 5
ประเภทและมีจำนวนองค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ประจำปี 2543ดังนี้
อบต. ชั้นที่ 1 จำนวน อบต. 74 แห่ง
อบต. ชั้นที่ 2 จำนวน อบต. 78 แห่ง
อบต. ชั้นที่ 3 จำนวน อบต. 205 แห่ง
อบต. ชั้นที่ 4 จำนวน อบต. 844 แห่ง
อบต. ชั้นที่ 5 จำนวน อบต. 5196 แห่ง
อบต. ชั้นที่ 5 จัดตั้งใหม่ (14 ธันวาคม 2542) จำนวน อบต. 349 แห่ง
รวม อบต.
ทั่วประเทศทั้งสิ้นจำนวน 6746 แห่ง
ระดับชั้นและเกณฑ์การแบ่งระดับองค์การบริหารส่วนตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบล
มีความสำคัญต่อท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดเล็กที่สุด
แต่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ชนบท
องค์การบริหารส่วนตำบลเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในชุมชนระดับตำบล
หมู่บ้านได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตย
ก่อนที่จะมีการยุบรวม
อบต. เข้ากับราชการส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่น
และตั้งสภาตำบลเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลเพิ่มมากขึ้นนั้น
มีองค์การบริหารส่วนตำบลประมาณ 6,500 แห่ง (ณ
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2550) โดยมีการแบ่งระดับออกเป็น
5 ชั้น ตามระดับของรายได้ ดังนี้
(1) อบต. ชั้น 1 รายได้ตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป
(2) อบต. ชั้น 2 รายได้ระหว่าง 12 - 20 ล้านบาท
(3) อบต. ชั้น 3 รายได้ระหว่าง 6 - 12 ล้านบาท
(4) อบต. ชั้น 4 รายได้ไม่เกิน 6 ล้านบาท
(5) อบต. ชั้น 5 รายได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท
ต่อมาเมื่อวันที่
9 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ได้มีการยุบรวม อบต.
เข้ากับราชการส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่น
และตั้งสภาตำบลเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันจึงมีจำนวนองค์การบริหารส่วนตำบลจำนวนทั้งสิ้น 6,725
แห่งและมีการเปลี่ยนแปลงการแบ่งกลุ่ม อบต. เป็น 3 ขนาด คือ
1) อบต.ขนาดใหญ่ (ส่วนใหญ่จะเป็น
อบต. ชั้น 1 เดิม)
2) อบต.ขนาดกลาง (ส่วนใหญ่จะเป็น อบต. ชั้น 2
และ อบต. ชั้น 3 เดิม)
3) อบต.ขนาดเล็ก (ส่วนใหญ่จะเป็น อบต. ชั้น 4
และ อบต. ชั้น 5 เดิม)
โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญที่ใช้แบ่งขนาด อบต. มี 5
เกณฑ์ที่สำคัญ ดังนี้
1) เกณฑ์ระดับรายได้
(1) รายได้ไม่รวมเงินอุดหนุนสูงกว่า 20 ล้านบาท เป็น
อบต.ขนาดใหญ่
(2) รายได้ไม่รวมเงินอุดหนุน
6-20 ล้านบาท เป็น อบต.ขนาดกลาง
(3) รายได้ไม่รวมเงินอุดหนุนต่ำกว่า
6 ล้านบาท เป็น อบต.ขนาดเล็ก
2) เกณฑ์ตัวชี้วัดด้านค่าใช้จ่ายบุคลากร
3) เกณฑ์ตัวชี้วัดด้านเศรษฐกิจและสังคม
(1) จำนวนพื้นที่
(2) จำนวนประชากร
(3) จำนวนโครงสร้างพื้นฐาน
(4) จำนวนโรงฆ่าสัตว์
(5) จำนวนตลาดสด
(6) จำนวนโรงงานนิคมอุตสาหกรรม
(7) จำนวนโรงเรียน
(8) จำนวนศูนย์พัฒนาเด็ก
(9) จำนวนโรงแรม
(10) จำนวนศาสนสถาน
(11) จำนวนสถานพยาบาล
(12) จำนวนศูนย์การค้า
(13) การประกาศให้ อบต.
เป็นเขตควบคุมอาคาร
(14) การประกาศให้ใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย
(15) จำนวนวัสดุ อุปกรณ์
และเครื่องมือด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
(16) จำนวนวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือด้านการกำจัดขยะและสิ่งปฏิกูล
(17) จำนวนโครงสร้างส่วนราชการ
(18) จำนวนหน่วยกิจการพาณิชย์
4) เกณฑ์ตัวชี้วัดด้านประสิทธิภาพในการปฏิบัติ
(1) ประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บรายได้
(2) ประสิทธิภาพด้านการบริหารแผนงานและงบประมาณ
(3) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านงานบุคคล
(4) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้านการบริการ
5) เกณฑ์ตัวชี้วัดด้านธรรมาภิบาล
(1) หลักนิติธรรม
(2) หลักคุณธรรม
(3) หลักความโปร่งใส
(4) การมีส่วนร่วมของประชาชน
(5) หลักความรับผิดชอบ
(6) ความคุ้มค่า
โครงสร้างขององค์การบริหารส่วนตำบล
อบต.
มี สภาาองค์การตำบล อยู่ในระดับสูงสุด
เป็นผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลกรรมการบริหาร ของ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล
ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารงานองค์การบริหารส่วนตำบล และ
มีพนักงานประจำที่เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ทำงานประจำวันโดยมีปลัดและรองปลัด
อบต. เป็นหัวหน้างานบริหาร ภายในองค์กรมีการแบ่งออกเป็นหน่วยงานต่างๆ
ได้เท่าที่จำเป็นตามภาระหน้าที่ของ
อบต.แต่ละแห่งเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบอยู่ เช่น
-
สำนักงานปลัด
- ส่วนการคลัง
- ส่วนสาธารณสุข
-
ส่วนการศึกษา
- ส่วนการโยธา
สภาองค์การบริหารส่วนตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบลมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่ง
มีโครงสร้างเป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
โดยโครงสร้างขององค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2546
ประกอบด้วยสภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
สภาองค์การบริหารส่วนตำบลประกอบด้วย
สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลซึ่งมาจากการเลือกตั้ง หมู่บ้านละ 2 คน ในกรณีที่องค์การบริหารส่วนตำบลใดมี 1 หมู่บ้าน
ให้หมู่บ้านนั้นเลือกสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจำนวน 6
คน และในกรณีที่องค์การบริหารส่วนตำบลใดมี 2 หมู่บ้าน
ให้องค์การบริหารส่วนตำบลนั้นมีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหมู่บ้านละ 3 คน
สภาองค์การบริหารส่วนตำบลให้มีวาระ
4 ปี นับแต่วันเลือกตั้ง
และสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสิ้นสุดลงเมื่อ
(1) ถึงคราวออกตามอายุของสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเมื่อมีการยุบสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
(2) ตาย
(3) ลาออก
(4) เป็นผู้ได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลที่ตนดำรงตำแหน่ง
หรือในกิจการที่กระทำให้ อบต.
(5) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
(6) ไม่ได้อยู่ประจำในหมู่บ้านที่ตนได้รับเลือกตั้งเป็นระยะเวลาติดต่อกันเกิน
6 เดือน
(7) ขาดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยไม่มีเหตุผลที่สมควร
(8) สภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง
เนื่องจากมีพฤติกรรมที่เสื่อมเสียหรือก่อความไม่สงบเรียบร้อยแก่องค์การบริหารส่วนตำบลหรือทำให้องค์การบริหารส่วนตำบลเสื่อมเสีย
(9) ราษฎรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลได้ลงคะแนนเสียงให้พ้นจากตำแหน่ง
สภาองค์การบริหารส่วนตำบล
ให้มีประธานสภาและรองประธานสภา 1 คน
ซึ่งเลือกจากสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
แล้วให้นายอำเภอแต่งตั้งประธานและรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลตามมติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
โดยที่ประธานและรองประธานสภาดำรงตำแหน่งจนครบอายุของสภาหรือมีการยุบสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
(มาตรา 49)
สภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจหน้าที่
(มาตรา 46)
ดังต่อไปนี้
(1) ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาตำบลเพื่อเป็นแนวทางในการบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วนตำบล
(2) พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบล
ร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
(3) ควบคุมการปฏิบัติงานของคณะผู้บริหารให้เป็นไปตามนโยบายและแผนพัฒนาตำบลตาม
(1) และกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ
(4) เลือกประธานสภา รองประธานสภา และเลขานุการสภา อบต.
(5) รับทราบนโยบายของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลก่อนนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเข้ารับหน้าที่
และรับทราบรายงานแสดงผลการปฏิบัติงานตามนโยบายที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้แถลงไว้ต่อสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นประจำทุกปี
(6) ในที่ประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีสิทธิตั้งกระทู้ถามต่อนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหรือรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลอันเกี่ยวกับงานในหน้าที่ได้
(7) สภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจในการเสนอบัญญัติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในปัญหาเกี่ยวกับการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลโดยไม่มีการลงมติได้
(8) สภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีอำนาจในการเลือกปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหรือสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลคนใดคนหนึ่งเป็นเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีหน้าที่ดำเนินการประชุม
และดำเนินการอื่น ๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด
ขณะที่รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
มีหน้าที่ช่วยประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลปฏิบัติงาน
ตามที่ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมอบหมายให้ทำ
ในกรณีที่ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไม่สามารถปฏิบัติงานได้
ให้รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลปฏิบัติงานแทน
ในการดำเนินการประชุมให้ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
เป็นผู้เรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตามสมัยประชุมและเป็นผู้เปิดหรือปิดการประชุม
หากว่าไม่มีประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
หรือประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไม่เรียกประชุม
ให้นายอำเภอเป็นผู้เรียกประชุมพร้อมทั้งเป็นผู้เปิดหรือปิดการประชุม
เมื่อตำแหน่งประธานหรือรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลว่างลงเพราะเหตุอื่นใดนอกจากครบวาระ
ให้มีการเลือกประธานหรือรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 15 วันนับแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลง
และให้ผู้ซึ่งได้รับเลือกแทนนั้นอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
(มาตรา 51) เลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมาจากสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลที่ได้รับเลือกตั้งจากสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
ซึ่งเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจะดำรงตำแหน่งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลและรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่ได้
โดยที่เลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการ
การจัดการประชุม และงานที่สภาองค์การบริหารส่วนตำบลมอบหมาย
สมัยประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
นายอำเภอต้องกำหนดให้สมาชิกสภา อบต. ดำเนินการประชุมสภา อบต. ครั้งแรกภายใน 15 วัน นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้ง และให้ที่ประชุมเลือกประธานสภา 1 คน และรองประธานสภา 1 คน
ซึ่งประธานสภาและรองประธานสภานี้จะดำรงตำแหน่งจนครบวาระ
ในกรณีที่สภา
อบต. ไม่สามารถจัดให้มีการประชุมครั้งแรกได้ภายใน 15 วันดังกล่าว หรือมีการประชุมแต่ไม่อาจเลือกประธานสภาได้
นายอำเภออาจเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีคำสั่งยุบสภา อบต.
ในปีหนึ่งให้สภา
อบต. มีสมัยประชุมสามัญ 2 สมัย หรือมากกว่า 2 สมัย แต่ไม่เกิน 4 สมัย สมัยหนึ่ง ๆ ไม่เกิน 15 วัน แต่อาจขยายได้อีกโดยขออนุญาตนายอำเภอ
วันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีให้สภา อบต. เป็นผู้กำหนด
นอกจากสมัยประชุมสามัญแล้ว
เมื่อเห็นว่ามีความจำเป็น ประธานสภา นายก อบต. หรือสมาชิกสภา อบต.
จำนวนไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาที่มีอยู่
อาจนำคำร้องยื่นต่อนายอำเภอขอเปิดประชุมวิสามัญได้
2. นายกองค์การบริหารส่วนตำบล
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารขององค์การบริหารส่วนตำบล
มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามารถแต่งตั้งผู้ช่วยดำเนินการได้
โดยสามารถแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้
2 คน และเป็นเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ 1
คน
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมีวาระการดำรงตำแหน่ง
4 ปี และสามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้
จะดำรงตำแหน่งได้อีกครั้งเมื่อพ้นระยะเวลา 4
ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง แม้ดำรงตำแหน่งไม่ครบระยะเวลา 4
ปีก็ให้นับเป็น 1 วาระ
ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังนี้
1) มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
2) จบการศึกษาไม่ต่ำกว่า
มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น
นักบริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา
3)
ไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริตหรือพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาตำบล
สมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น
รองผู้บริหารท้องถิ่น หรือเลขานุการหรือที่ปรึกษาของผู้บริหารท้องถิ่น
เพราะเหตุที่ไม่มีส่วนได้เสียไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญา
หรือกิจการที่กระทำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่ถึง 5
ปี นับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง
นายกองค์การบริหารส่วนตำบล
มีอำนาจหน้าที่ (มาตรา 59) ดังต่อไปนี้
1)
ก่อนเข้ารับหน้าที่
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลต้องแถลงนโยบายต่อสภาองค์การบริหารส่วนตำบลโดยไม่มีการลงมติ
หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ทำเป็นหนังสือแจ้งต่อสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลทุกคน
และจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นประจำทุกปี
(มาตรา 58/5)
2)
อำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2546 (มาตรา 59)
กำหนดไว้ดังนี้
(1) กำหนดนโยบายโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย
และรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย
แผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนตำบล ข้อบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ
(2) สั่ง อนุญาต
และอนุมัติเกี่ยวกับราชการขององค์การบริหารส่วนตำบล
(3) แต่งตั้งและถอดถอนรองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลและเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
(4) วางระเบียบเพื่อให้งานขององค์การบริหารส่วนตำบลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(5) รักษาการให้เป็นไปตามข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบล
(6) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้และกฎหมายอื่น
3)
ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลตามกฎหมายและเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล
4)
นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
หรือผู้ที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลมอบหมาย มีสิทธิเข้าประชุมสภา
และมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริง ตลอดจนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของตนต่อที่ประชุม
แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
5)
กรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล
หรือสภาองค์การบริหารส่วนตำบลถูกยุบ
หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วนซึ่งปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของราชการหรือราษฎร
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลจะดำเนินการไปพลางก่อนเท่าที่จำเป็นก็ได้
ในการดำเนินงานขององค์การบริหารส่วนตำบล
ให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นผู้แทนขององค์การบริหารส่วนตำบล
และเมื่อนายกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลตามลำดับที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแต่งตั้งไว้เป็นผู้รักษาราชการแทน
นอกจากนั้น นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสามารถมอบอำนาจในการสั่ง อนุญาต อนุมัติ
ให้รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล
หรือหัวหน้าส่วนราชการขององค์การบริหารส่วนตำบล ปฏิบัติราชการแทนได้
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
1) ถึงคราวออกตามวาระ
2) ตาย
3) ลาออกโดยยื่นหนังสือลาออกต่อนายอำเภอ
4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด
5) กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 64/2
ของพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2546 คือ
(1) ดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่อื่นใดในส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เว้นแต่ตำแหน่งที่ดำรงตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
(2) รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ เป็นพิเศษจากส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ นอกเหนือไปจากที่ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ ปฏิบัติกับบุคคลในธุรกิจการงานตามปกติ
(3)
เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่องค์การบริหารส่วนตำบลนั้นเป็นคู่สัญญาหรือในกิจการที่กระทำให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลนั้น
หรือที่องค์การบริหารส่วนตำบลนั้นจะกระทำ
บทบัญญัตินี้ไม่ให้ใช้บังคับกับกรณีที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล
รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
และเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้รับเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ
หรือเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
และไม่ให้ใช้บังคับกับกรณีที่บุคคลดังกล่าวรับเงินตอบแทนค่าเบี้ยประชุมหรือเงินอื่นใด
เนื่องจากการดำรงตำแหน่งกรรมาธิการของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา
สภาองค์การบริการส่วนตำบล หรือสภาท้องถิ่นอื่น
หรือกรรมการที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นโดยตำแหน่ง
6) ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา
87/1 วรรคห้า หรือมาตรา 92
(1) การพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 87/1 วรรคห้า คือ
การที่นายกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่ยอมนำร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
ซึ่งปรับปรุงแก้ไขโดยคณะกรรมการซึ่งตั้งโดยนายอำเภอเพื่อพิจารณาหาข้อยุติความขัดแย้งจากกรณีที่สภาองค์การบริหารส่วนตำบล
ไม่รับหลักการหรือไม่เห็นชอบกับร่างข้อบัญญัติงบประมาณที่เสนอโดยนายกองค์การบริหารส่วนตำบลในครั้งแรก
เสนอต่อสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเพื่อพิจารณาใหม่ภายใน 7 วัน
นับแต่ได้รับร่างข้อบัญญัติจากนายอำเภอ
กรณีนี้ให้นายอำเภอรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัด
เพื่อสั่งให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพ้นจากตำแหน่ง
(2) การพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 92 คือ
นายอำเภอสอบสวนแล้วปรากฏว่ากระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน
หรือละเลยไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่จริง
กรณีนี้นายอำเภอสามารถเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพ้นจากตำแหน่งได้
7) ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
8)
ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตองค์การบริหารส่วนตำบล
มีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4
ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปตามกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
นายก อบต. และสมาชิกสภา อบต.
มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งนั้นตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น
หรือผู้บริหารท้องถิ่น
•
องค์ประกอบของ อบต. ในการปฏิบัติงาน ดังนี้
(1) สภา อบต. :
ฝ่ายนิติบัญญัติ
(2) นายก อบต .
: ฝ่ายบริหาร
(3) พนักงานส่วนตำบล
: ฝ่ายราชการประจำ
(4) ประชาชนในเขต
อบต. : เป็นศูนย์กลางการพัฒนา และมีส่วนรวมดำเนินการ
(5) ฝ่ายกำกับดูแล
อบต. : นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด
ทั้ง 5 ฝ่ายต้อง มีส่วนรวมในการดำเนินงานตามกรอบอำนาจหน้าที่อย่างสมดุล อบต.
จึงพัฒนาอย่างยั่งยืนและเข้มแข็ง
โครงสร้างการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบใหม่ตามกฎหมาย